จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558

สงครามหกวัน

“สงคราม ๖ วัน”
สงคราม ๖ วัน  เป็นสงครามระหว่างชาติอาหรับกับอิสราเอล มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อคือ สงครามอาหรับ-
อิสราเอล ปี ๑๙๖๗, สงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งที่ ๓, สงครามเดือนมิถุนายน    ชาติอาหรับ ๓ ชาติที่เป็นเพื่อนบ้านของอิสราเอลคือ อียิปต์, จอร์แดน และซีเรีย และยังมีชาติอาหรับอื่นๆ อีก ที่ร่วมถล่มอิสราเอลในคราวนี้ทั้งที่ส่งทหารมาร่วมและที่สนับสนุนทางการเงินคือ อิรัก, ซาอุดอารเบีย, คูเวต และอัลจีเรีย
           ก่อนจะถึงเดือนมิถุนายน ๑๙๖๗ อียิปต์ได้ขับไล่กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติบริเวณคาบสมุทรซีนาย และชุมนุมพลบริเวณใกล้ชายแดน, ปิดช่องแคบติลาน ซึ่งเป็นช่องทางเดินเรือเข้าสู่อ่าวอกาบาที่ไปสู่เมืองท่าอีลาท เมืองท่าทางด้านใต้ของอิสราเอล ไม่ให้เรืออิสราเอลผ่านได้ และเรียกร้องให้ชาติอาหรับร่วมกันถล่มอิสราเอล ในเดือนมิถุนายน ๑๙๖๗ ฝ่ายอิสราเอลชิงลงมือก่อนโดยส่งกำลังทางอากาศเข้าโจมตีฐานทัพอากาศของ อียิปต์ที่กำลังเตรียมการสำหรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น จอร์แดนเข้าโจมตีเยรูซาเล็มตะวันตกและเนทันย่า เมื่อสงครามสงบ, อิสราเอลได้ควบคุมเยรูซาเล็มตะวันออก, ฉนวนกาซ่า, เวสต์แบงก์ หรือฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน และที่ราบสูงโกลาน. ผลของสงครามครั้งนี้กระทบต่อภูมิศาสตร์การเมืองของภูมิภาคมาจนถึงทุกวันนี้
ภูมิหลัง
หลังวิกฤตกาลคลองสุเอซปี ๑๙๕๖ แม้ฝ่ายอียิปต์จะพ่ายในสงครามแต่ก็ชนะในทางการเมือง  ทั้งสองมหาอำนาจคือ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต   ต่างกดดันให้อิสราเอลถอนกำลังออกจากคาบสมุทรซีนาย ส่วนทางอียิปต์เองก็ยินยอมให้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเข้ามาประจำการในซีนายแทน, เพื่อให้               ซีนายเป็นเขตปลอดทหารและป้องกันกองโจรลักลอบเข้าไปโจมตีอิสราเอล อียิปต์ยังยินยอมเปิดช่องแคบติลานอีกครั้ง เพื่อให้เรือพาณิชย์ของอิสราเอลสามารถใช้เส้นทางได้ตามปกติ ซึ่งทำให้สถานการณ์ชายแดนระหว่างอิสราเอลกับอียิปต์สงบลงชั่วคราว
ผลจากสงครามในปี ๑๙๕๖ มิได้ทำให้ปัญหาต่างๆ หมดไป ความสัมพันธ์ของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคยัง
ตึงเครียด ไม่มีอาหรับชาติใดเลยที่ยอมรับการดำรงอยู่ของอิสราเอล ซีเรียซึ่งเข้าข้างโดยโซเวียต    เริ่มเป็นฐานให้ผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์ลักลอบเข้าไปโจมตีในอิสราเอล เป็นการทำสงครามปลดปล่อยประชาชน ซึ่งตรงกันข้ามกับนโยบายของพรรคบาท

โครงการชลประทานแห่งชาติของอิสราเอล
ในปี ๑๙๖๔ อิสราเอลเริ่มผันน้ำจากแม่น้ำจอร์แดนเพื่อสร้างระบบชลประทาน   ชาติอาหรับตอบโต้โดยการวางแผนสร้างเขื่อนตรงต้นน้ำ ซึ่งจะลดปริมาณน้ำในแม่น้ำจอร์แดนที่ไหลมาสู่ทะเลสาบกาลิลี่ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อโครงการชลประทานของอิสราเอลได้ กองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอลจึงโจมตีสถานที่ก่อสร้างโครงการดังกล่าวที่ อยู่ในซีเรียในเดือนมีนาคม, พฤษภาคม และสิงหาคม ๑๙๖๕ ทำให้สถานการณ์ตามแนวชายแดนตึงเครียดตลอดเวลา ถือเป็นจุดหนึ่งที่เป็นตัวจุดชนวนสงครามคราวนี้
แม่น้ำจอร์แดน ความยาว ๒๕๑ กม. มีต้นกำเนิดจากแม่น้ำ ๔ สาย คือ ฮัสบานิ, บาเนียส, แดน และแม่น้ำอายูน ซึ่งอยู่ในเลบานอน แม่น้ำจอร์แดนถือเป็นเขตพรมแดนธรรมชาติระหว่างอิสราเอล และจอร์แดน ไหลไปสิ้นสุดที่ทะเลสาบเดดซี
** โครงการชลประทานแห่งชาติของอิสราเอล สร้างขึ้นเพื่อนำน้ำจากทะเลสาบกาลิลี่ ขึ้นมาใช้ในพื้นที่ตอนกลางและตอนล่างของอิสราเอลที่แห้งแล้ง ในระบบชลประทานดังกล่าวประกอบด้วยระบบคลองส่งน้ำ, ท่อส่งน้ำ, อุโมงค์ส่งน้ำ, อ่างเก็บน้ำ และสถานีสูบน้ำ ปัจจุบันน้ำที่ใช้ในอิสราเอล ๘๐% มาจากโครงการดังกล่าว

กรณีพิพาทระหว่างอิสราเอลกับจอร์แดน: วิกฤตกาลที่ซามุ
ซามุ ชื่อเต็มคือ Es Samu เป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งบนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน หรือที่รู้จักกันดีในนาม เวสท์ แบงค์ (West Bank) หมู่บ้านแห่งนี้มีประชากรราว ๔ พันคน ทั้งหมดเป็นผู้อพยพปาเลสไตน์
วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๑๙๖๖ รถยนต์ของหน่วยลาดตระเวนตามชายแดนของอิสราเอล (Israel Border Police เป็นเหมือน ตชด.ของบ้านเรา) วิ่งไปเหยียบกับระเบิด ทำให้มีผู้เสียชีวิต ๓ นาย บาดเจ็บอีก ๖ นาย อิสราเอลพุ่งเป้าไปที่ผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์กลุ่ม PLO (Palestine Liberation Organization, ก่อตั้งขึ้นมาในปี ๑๙๖๔) ที่ข้ามพรมแดนมาจากหมู่บ้าน เอส ซามุ หลังเที่ยงคืน, กษัตริย์ ฮุสเซน แห่งจอร์แดน ก็ทรงติดต่ออย่างลับๆ กับนาย อับบา อีบัน (Abba Eban) ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี เลวี เอสโคล (Levi Eshkol, นายกรัฐมนตรีคนที่ ๔ ของอิสราเอล ระหว่างปี ๑๙๖๓-๖๙) และนาง โกลดา แมร์ (Golda Meir) นักการเมืองระดับแกนนำคนหนึ่งของพรรครัฐบาล (อดีตเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการตั้งถิ่นฐาน แต่ลาออกมาเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ต่อมาหลังอสัญกรรมของนาย เลวี เอสโคล นางโกลดา แมร์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๕ ตั้งแต่ปี ๑๙๖๙-๗๔, ได้รับสมญาว่า เป็น 'สตรีเหล็ก') กษัตริย์ ฮุสเซน ต้องการคำรับรองจากฝ่ายอิสราเอลว่า จะไม่กระทำการรุกล้ำดินแดนของจอร์แดน ซึ่งเวลานั้นเป็นที่พักพิงของบรรดาผู้อพยพชาวปาเลสไตน์   ก่อนหน้านั้น ทางการอิสราเอลเคยประกาศว่า จะทำการตอบโต้การกระทำก่อการร้ายของผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์อย่างรุนแรง
เวลาตี ๕ ครึ่ง กองกำลังของอิสราเอลก็บุกโจมตีหมู่บ้าน เอส ซามุ ที่อิสราเอลอ้างว่า เป็นที่พักพิงของผู้ก่อการร้ายกลุ่ม PLO จากซีเรีย ถือเป็นปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่สุดของอิสราเอลตั้งแต่ปี ๑๙๕๖ ภายใต้ชื่อ ปฏิบัติการ Shredder, ระหว่างทหารอิสราเอลบุกหมู่บ้านแห่งนี้ พร้อมกับหมู่บ้านเล็กๆ อีก ๒ แห่ง ได้เกิดการปะทะกับทหารจอร์แดน ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตาย แต่ที่มากกว่าคือ พลเรือนชาวจอร์แดน ซึ่งตัวเลขความเสียหายตรงนี้ไม่เป็นที่เปิดเผย (เพื่อความมั่นคงของกษัตริย์ ฮุสเซน)
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว จอร์แดนและกลุ่มชาติอาหรับได้ยื่นประท้วงการกระทำของอิสราเอลต่อสมัชชาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต แต่ถูกสหรัฐอเมริกา ในฐานะสมาชิกถาวรของสมัชชาความมั่นคง ใช้สิทธิคัดค้าน

ปัญหาระหว่างอิสราเอลกับซีเรีย
ซีเรียมีปัญหากับอิสราเอลอย่างมาก โดยเฉพาะซีเรียเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มผู้ก่อการร้าย โดยมีค่ายฝึกการก่อการร้ายอยู่ในดินแดนของซีเรีย ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้เมื่อฝึกเสร็จ ก็จะไปซ่อนตัวปะปนอยู่กับผู้อพยพปาเลสไตน์ ที่พักอาศัยหลบภัยอยู่ในจอร์แดน (เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างความปวดหัวกับกษัตริย์ ฮุสเซน แห่งจอร์แดนมาก นอกจากนับวันๆ ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้จะมีอิทธิพลมากขึ้นทุกทีแล้ว การข้ามไปก่อการร้ายในเขตอิสราเอล ก็ทำให้จอร์แดนต้องถูกอิสราเอลตอบโต้ ลึกๆ แล้ว กษัตริย์ ฮุสเซน ก็ทรงพระวิตกว่า วันดีคืนดี กลุ่มผู้ก่อการร้ายเหล่านี้อาจร่วมมือกับพวกสังคมนิยม ลุกขึ้นจับอาวุธ ปฏิวัติพระองค์ก็ได้)
ซีเรีย เริ่มใช้ปืนใหญ่ยิงข้ามเขตปลอดทหารมายังนิคมของชาวยิว ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบกาลิลี่
ปี ๑๙๖๖ ซีเรีย กับอียิปต์ เซ็นสัญญาร่วมมือกันทางทหารเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกรุกราน อียิปต์เอง ยังเซ็นสัญญาร่วมกันทางทหารกับโซเวียต ทำให้โซเวียตให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ประเทศอาหรับทั้งสองอย่างเต็มที่
วันที่ ๑ เมษายน ๑๙๖๗ ปืนใหญ่ของซีเรียยิงถล่มรถแทรกเตอร์ในนิคมของชาวยิว จนต้องหยุดทำงาน แต่แล้วในวันที่ ๗ เมษายน ๑๙๖๗ รถแทรกเตอร์ที่ติดเกราะกันกระสุนก็กลับมาทำงานต่อ ฝ่ายซีเรียก็เปิดฉากยิงถล่มรถแทรกเตอร์ของอิสราเอลเหมือนเคย คราวนี้อิสราเอลส่งเครื่องบินรบโจมตีฐานปืนของซีเรีย ฝ่ายซีเรียก็ยิ่งยิงถล่มหนักขึ้นกว่าเดิม คราวนี้อิสราเอลจึงส่งเครื่องบินรบโจมตีที่ตั้งทางทหารของซีเรีย บริเวณที่ราบสูงโกลัน ตลอดแนวชายแดนยาว ๗๖ กม. รวมถึงบินไปโจมตีถึงกรุงดามัสกัส ทำให้เครื่องบิน MiG-21 ของซีเรียพังไป ๖ เครื่อง ไม่นับรวมรถถัง, ปืนใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิดของซีเรียอีกจำนวนมากที่ถูกทำลาย สหประชาชาติต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายยุติการปะทะก่อนจะกลายเป็น สงครามใหญ่
เรื่องไม่ยุติลงเท่านี้  เพราะโซเวียตประกาศสนับสนุนกลุ่มชาติอาหรับเต็มที่   วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ประธานเสนาธิการร่วมของกองกำลังแห่งชาติอาหรับ ยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการกองกำลังฉุกเฉินของสหประชาชาติให้ถอนกำลังออกจาก พื้นที่ซึ่งเป็นแนวกันชนระหว่างชาติอาหรับกับอิสราเอล กองกำลังนี้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ตามคำสั่งของเลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้นคือ อูถั่น (ชาวพม่า)
วันที่ ๒๒ พฤษภาคม อียิปต์ ทำการปิดช่องแคบติรานอีกครั้ง ไม่ให้เรือของอิสราเอลผ่านเข้าออก สหรัฐฯ ในฐานะผู้รับประกันว่า ช่องทางเดินเรือดังกล่าวจะต้องเปิดใช้ได้อย่างเสรี ปรึกษาหารือกับชาติพันธมิตร แต่ได้รับการสนับสนุนเพียงเล็กน้อยจากอังกฤษและเนเธอร์แลนด์
วันที่ ๓๐ พฤษภาคม, อียิปต์ ลงนามในสนธิสัญญาร่วมมือกันทางทหารกับจอร์แดน เนื้อหาสำคัญคือ ประเทศทั้งสองจะร่วมมือกันทางทหารอย่างใกล้ชิด หากประเทศใดประเทศหนึ่งถูกรุกราน ซึ่งเหมือนกับที่อียิปต์เซ็นสัญญาร่วมกับซีเรียก่อนหน้านั้น
หลังจากนั้นกำลังทหารของจอร์แดนก็ไปขึ้นการบังคับบัญชากับอียิปต์ ถึงตอนนี้ประธานาธิบดีนัสเซอร์ แห่งอียิปต์ ก็กล่าวว่า ตอนนี้มีกำลังจากสี่ชาติคือ อียิปต์, ซีเรีย, เลบานอน และจอร์แดน ประจำอยู่ตลอดแนวชายแดนติดต่อกับอิสราเอล และยังมีกองกำลังจากชาติอาหรับอื่นๆ ที่ไม่มีพรมแดนติดกับอิสราเอล ที่พร้อมมาสนับสนุนด้วยอย่างเช่น อิรัก, แอลจีเรีย, คูเวต, ซูดาน
อิสราเอลนั้นทราบดีว่า กษัตริย์ ฮุสเซน ไม่เต็มใจจะรบกับอิสราเอลเท่าไหร่ แต่คราวนี้ถ้าพระองค์ไม่ร่วมมือกับชาติอาหรับอื่นๆ มีหวังถูกโค่นจากราชบัลลังก์แน่ เพราะหากไม่ทรงรบกับอิสราเอล ในจอร์แดนคงต้องเกิดสงครามกลางเมือง
ตอนนี้กำลังของชาติอาหรับที่บริเวณฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนอยู่ห่างจาก ชายแดนอิสราเอลทางด้านจอร์แดนเพียง ๑๗ กม. กองกำลังนี้สามารถโจมตีและตัดขาดประเทศอิสราเอลได้ภายใน ๙๐ นาทีเท่านั้น
ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาพยายามใช้ทุกวิถีทางในความพยายามยับยั้งการกระทำของ กลุ่มประเทศอาหรับ แต่ดูเหมือนไม่เป็นผล เพราะตอนนี้โซเวียตถือหางข้างฝ่ายอาหรับอย่างเต็มที่ ทั้งโดยการสนับสนุนด้านอาวุธยุทธภัณฑ์และด้านการทูต
ก่อนเกิดสงคราม, อียิปต์มีกำลัง ๑๐๐,๐๐๐ ถึง ๑๖๐,๐๐๐ คน อยู่ในคาบสมุทรซีนาย (๔ กองพลทหารราบ, ๒ กองพลยานเกราะ และ ๑ กองพลทหารราบยานยนต์) รถถัง ๙๕๐ คัน, รถลำเลียงพล ๑,๑๐๐ คัน ปืนใหญ่กว่า ๑,๐๐๐ กระบอก ทั้งนี้ไม่นับรวมทหารที่อยู่ทางด้านของเยเมน ซึ่งขณะนั้นกำลังมีสงครามกลางเมืองอยู่
จอร์แดน มีกำลัง ๕๕,๐๐๐ คน บางส่วนประจำการอยู่ในเยเมน ซีเรีย มีทหาร ๗๕,๐๐๐ คน   อิสราเอล มีกำลัง ๒๖๔,๐๐๐ คน ในจำนวนนี้เป็นทหารประจำการ ๕๐,๐๐๐ คน นอกจากนั้นเป็นกองกำลังสำรอง
             กองกำลังของชาติอาหรับที่กำลังเผชิญหน้ากับกองกำลังของอิสราเอลตอนนี้ ถูกวิจารณ์ว่า เทียบชั้นกับทหารอิสราเอลไม่ได้ในทุกๆ ด้าน หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากโซเวียต   ทหารชั้นดีของอียิปต์ ๕๐,๐๐๐ คน รวมทั้งกำลังทางอากาศ เวลานี้ประจำการอยู่ในเยเมน ซึ่งกองกำลังฝ่ายอาหรับเข้าไปสนับสนุนทหารรัฐบาลเยเมนในการสู้รบกับกบฎคองโก
             เย็นวันที่ ๑ มิถุนายน นายพล โมเช่ ดายัน รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล เรียก นายพล ยิสฮัค ราบิน ประธานเสนาธิการทหาร (ต่อมาได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ ๕ ของอิสราเอล) พร้อมกับนายทหารที่เกี่ยวข้องเข้าพบเพื่อหารือถึงแผนการรบ
การปฏิบัติการ
การโจมตีทางอากาศ
อิสราเอลเปิดฉากการรุกก่อน ด้วยการโจมตีกองทัพอากาศอียิปต์ ที่ถือว่าเป็นกองกำลังทางอากาศใหญ่
ที่สุด และทันสมัยที่สุด ของกลุ่มชาติอาหรับ อียิปต์มีเครื่องบินรบถึง ๔๕๐ เครื่อง ซึ่งทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากโซเวียต
ฝ่ายอิสราเอลกังวลกับการที่ฝ่ายอียิปต์อาจจะใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาด กลางแบบ Tu-16 Badger ซึ่งมีอยู่ ๓๐ เครื่อง สามารถทำความเสียหายอย่างมากให้กับที่ตั้งทางทหารและพลเรือนของอิสราเอลได้
เวลา ๐๗๔๕ (เวลาท้องถิ่น) ของวันที่ ๕ มิถุนายน เสียงไซเรนดังก้องขึ้นทั่วทุกท้องถิ่นของอิสราเอล
กองทัพอากาศอิสราเอล เริ่มเปิดยุทธการ Focus เครื่องบินของกองทัพอิสราเอลเกือบทุกเครื่อง (รวมที่เข้าปฏิบัติการนี้ทั้งหมด ๑๙๖ เครื่อง) ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งทำลายเครื่องบินของชาติอาหรับ คงเหลือเครื่องบินขับไล่อีก ๑๒ เครื่องเท่านั้นที่ไม่ได้ร่วมเข้าโจมตี เพราะต้องทำหน้าที่คุ้มกันน่านฟ้าของอิสราเอล   ฝูงบินโจมตีของอิสราเอล ทะยานออกสู่ทะเลเมดิเตอเรเนียน ก่อนวกกลับมาอียิปต์ ทั้งนี้เพื่อหลบระบบป้องกันภัยทางอากาศของฝ่ายอียิปต์ ที่มีอาวุธหลักคือ จรวดต่อสู้อากาศยานแบบ SA-2 ของโซเวียต ซึ่งก็ให้ประจวบเหมาะกับวันนั้น ท่านจอมพล อาเมอร์ และพลตรี ซิดกิ มาหมุด เดินทางโดยเครื่องบินไปตรวจเยี่ยมผู้บัญชาการทหารในแนวหน้าที่ประจำการ เตรียมพร้อมอยู่ที่ซีนาย หน่วยต่อสู้อากาศยานจึงถูกสั่งให้ปิดระบบป้องกันภัยทางอากาศชั่วคราว เพราะเกรงว่า จะมีใครเกิดกดปุ่มจรวดยิงเครื่องบินของท่านแม่ทัพ
เมื่อใกล้ถึงเป้าหมาย เครื่องบินอิสราเอลก็บินเรี่ยพื้นเพื่อหลบเรดาร์ตรวจการณ์ของฝ่ายอียิปต์ เป้าหมายแรกเป็นฐานทัพอากาศของอียิปต์ ๑๑ แห่ง นักบินอิสราเอลพบว่า เครื่องบินรบของอียิปต์จอดเป็นแถวอยู่บนสนามบินโดยไม่มีที่กำบังเลย  เครื่องบินของอิสราเอลประเคนอาวุธแทบทุกอย่างเข้าใส่เครื่องบินรบอียิปต์ที่จอดเป็นเป้านิ่ง ผลก็คือถูกทำลายไม่เหลือ จากนั้นนักบินอิสราเอลก็รีบนำเครื่องกลับ ใช้เวลาเติมเชื้อเพลิงและติดอาวุธใหม่เพียง ๗ นาที ๔๕ วินาที แล้วก็บินขึ้นมาโจมตีระลอกที่สอง เมื่อเวลา ๐๙๓๐
เป้าหมายคราวนี้เป็นฐานบินของอียิปต์อีก ๑๔ แห่ง คราวนี้เครื่องบินอิสราเอลมีการสูญเสียบ้าง เพราะ
ฝ่ายอียิปต์รู้ตัวแล้ว เครื่องบินอิสราเอลรีบบินกลับฐาน เติมเชื้อเพลิงและติดอาวุธอย่างรวดเร็ว และบินขึ้นมาโจมตีเที่ยวที่ ๓ ต่อเมื่อเวลา ๑๒๑๕ ในคราวนี้กองกำลังฝ่ายอาหรับเริ่มตอบโต้ เครื่องบินรบของจอร์แดน, ซีเรีย และอิรัก บินเข้ามาโจมตีอิสราเอล ซึ่งเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งของพลเรือน ทำให้เครื่องบินส่วนหนึ่งของอิสราเอลต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปโจมตีฐานบินของ จอร์แดนและซีเรีย เครื่องบินบางส่วนบินสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นของอิสราเอล      ในวันแรกของสงคราม ๖ วัน, กองทัพอากาศอิสราเอลสามารถครองน่านฟ้าเหนือที่ราบสูงโกลาน, คาบสมุทรซีนาย และฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนได้อย่างเด็ดขาด เครื่องบินของกองทัพอากาศอียิปต์ถูกทำลายเกือบหมด
ผลการโจมตีที่ดีเยี่ยมของฝ่ายอิสราเอลครั้งนี้ต้องยกให้กับการฝึกอย่างหนัก ทั้งนักบิน, ฝ่ายซ่อมบำรุงและฝ่ายสรรพาวุธของกองทัพอากาศอิสราเอล ที่ทำการฝึกอย่างหนักโดยมีเป้าหมายให้เครื่องบินของอิสราเอลสามารถบินขึ้นโจมตีเป้าหมายได้ถึง ๔ เที่ยวต่อวัน ทำให้ปฎิบัติการโจมตีทางอากาศของ ทอ. อิสราเอล  สามารถทำลายเครื่องบินฝ่ายอาหรับได้ ๔๕๒ เครื่อง อิสราเอลเสียเครื่องบินไป ๑๙ เครื่อง ส่วนใหญ่เกิดจากเครื่องขัดข้อง

เครื่องบินที่มีบทบาทอย่างสำคัญในสงคราม ๖ วัน ของกองทัพอากาศอิสราเอล
(จากซ้าย) Mirage IIICJ, Mystere IVA, Vautour, Mystere B.2 และ Ouragon ทั้งหมดเป็นเครื่องบินผลิตจากฝรั่งเศส

การรบภาคพื้นดิน
ฉนวนกาซ่า และคาบสมุทรซีนาย
           ที่ซีนาย, มีทหารอียิปต์ประจำการอยู่ ๗ กองพล ประกอบด้วย ๔ กองพลยานเกราะ, ๒ กองพลทหารราบ และหนึ่งกองพลทหารราบยานยนต์รวม ๑๐๐,๐๐๐ นาย รถถังราว ๙๐๐-๙๕๐ คัน ยังมีรถหุ้มเกราะลำเลียงพลอีก ๑,๑๐๐ คัน ปืนใหญ่อีก ๑,๐๐๐ กระบอก ทั้งหมดวางกำลังตั้งรับแนวลึก ตามหลักนิยมของโซเวียต ที่ให้ทหารราบคอยปะทะกับข้าศึกเป็นส่วนหน้า, หน่วยยานเกราะที่มีอำนาจการยิงสูงและไกลกว่าอยู่เบื้องหลังเป็นส่วนสนับสนุน
อิสราเอลวางกำลัง ๓ กองพล แบ่งเป็น ๖ กรมยานเกราะ, หนึ่งกรมทหารราบ, หนึ่งกรมทหารราบยานยนต์, ๓ กรมทหารพลร่ม และรถถังอีก ๗๐๐ คัน รวมกำลังพลทั้งหมดราว ๗๐,๐๐๐ คน แผนของอิสราเอลคือ การโจมตีแบบที่ฝ่ายอียิปต์คาดไม่ถึงด้วยการโจมตีฐานบินของอียิปต์ พร้อมกับทางภาคพื้นดินจะโจมตีโดยเปิดแนวรุก ๒ แนวคือ ด้านเหนือ และแนวกลาง อย่างที่ฝ่ายอิสราเอลเคยใช้ในสงครามปี ๑๙๕๖ (วิกฤตกาลคลองสุเอซ) ส่วนกองทัพอากาศจะโจมตีแนวกลางและแนวด้านใต้ ยุทธวิธีการรบจะใช้แบบกองกำลังผสมทำการตีโอบ มากกว่าจะใช้หน่วยรถถังเข้าตีตรงๆ (ยุทธวิธีการรบตามแบบโซเวียตนั้น เป็นการประยุกต์มาจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งโซเวียตถูกหน่วยรถถังของเยอรมันบุก รถถังของเยอรมันมีประสิทธิภาพสูงกว่าของโซเวียต ดังนั้นการปะทะกันระหว่างรถถังกับรถถัง โซเวียตจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ จึงนำการรบร่วมระหว่างทหารราบกับรถถังมาใช้)
กองพลด้านเหนือ มีกำลัง ๓ กรมยานเกราะ บัญชาการโดยพลโท อิสราเอล ทัล, หนึ่งในผู้บัญชาการหน่วยยานเกราะที่มีชื่อเสียงที่สุดของอิสราเอล, หน่วยยานเกราะของอิสราเอลรุกคืบหน้าไปอย่างช้าๆ ผ่านฉนวนกาซ่าและเอล อาริซ โดยมีการต่อต้านไม่มากนัก
กองพลด้านกลาง อยู่ภายใต้การบัญชาการของพลโท อัฟราฮัม ย๊อฟเฟ่ และกองพลด้านใต้ ภายใต้การบัญชาการของพลโท แอเรียล ชารอน, ที่มีการปะทะอย่างหนักจากทหารอียิปต์ที่ป้องกันพื้นที่อาบู-อกีล่า-คุซไซม่า จนเรียกการรบที่แห่งนี้ว่า การยุทธ์ที่อาบู-อกีล่า (Battle of Abu-Ageila) กำลังของอียิปต์มีทหารราบ ๑ กองพล(พล.ร.๒), หนึ่งกรมรถถัง(๒ พันถ.ธ-34/85) และหนึ่งกองพันปืนโจมตีต่อต้านรถถัง(SU-100 ๓๐ คัน) นายพล ชารอน ต้องใช้ทั้งรถถัง, ทหารราบ และทหารพลร่ม ร่วมกันโจมตีตัดแนวป้องกันของฝ่ายอียิปต์สำเร็จ ใช้เวลา ๓ วันครึ่งจึงยึดอาบู-อากีล่าได้สำเร็จ
การสูญเสียอาบู-อากีล่า ทำให้ท่านจอมพล อับเดล ฮาคิม อาเมอร์ รัฐมนตรีกลาโหม ค่อนข้างปริวิตก แม้ว่าหน่วยทหารบางหน่วยจะยังคงอยู่ในที่ตั้ง และยังไม่มีการปะทะกับทหารของอิสราเอล แต่ท่านจอมพล ก็สั่งการให้ทหารอียิปต์ทีเหลืออยู่ในซีนายถอนกำลังมาตั้งแนวรับใหม่ ทางฝั่งตะวันตกของคลองสุเอซ กองบัญชาการทหารสูงสุดของอิสราเอลตัดสินใจไม่ไล่ติดตามทหารอียิปต์ที่กำลัง ถอย แต่จะอ้อมไปดักที่ช่องเขาทางตะวันตกของซีนายที่เป็นทางผ่านสู่คลองสุเอซ
สองวันต่อมา, กองพลทั้งสามกองพลของอิสราเอล (กองพลของนายพลชารอนและของนายพล ทัล ได้รับหน่วยยานเกราะเสริมอีก ๑ กรม)    และเร่งรีบมุ่งไปทางตะวันตกแต่ก็มิสามารถปิดช่องเขาที่เป็นทางผ่านสู่คลองสุเอซได้หมด ทหารอียิปต์ส่วนใหญ่เล็ดลอดข้ามคลองสุเอซไปได้ ในสี่วันหลังปฏิบัติการ, อิสราเอลสามารถเอาชนะกองทหารของอาหรับที่ใหญ่ที่สุด มีอาวุธยุทโธปกรณ์มากที่สุดได้
วันที่ ๘ มิถุนายน, อิสราเอลสามารถยึดคาบสมุทรซีนายได้ทั้งหมด
ปัจจัยที่ทำให้อิสราเอลได้รับชัยชนะครั้งนี้น่าจะได้แก่:
๑. ความเหนือกว่าของกองทัพอากาศอิสราเอล ทำให้สามารถครองน่านฟ้าได้อย่างสมบูรณ์
๒. ความคิดริเริ่มและความสามารถในการประยุกต์แผนการรบให้เหมาะสมกับสถานการณ์
๓. ความล่าช้าของทหารอียิปต์ในการประสานงานระหว่างหน่วยต่างๆ ตรงจุดนี้ทำให้อิสราเอลสามารถใช้เป็น
   เครื่องช่วยในการตัดสินใจสำหรับแนวรบ ด้านอื่นได้อย่างดี

แผนที่การบุกคาบสมุทรซีนายของอิสราเอล
ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน
เป็นที่ทราบอยู่ว่า จอร์แดนไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมรบในสงครามคราวนี้เท่าใดนัก มีข่าวบางกระแสบอกว่า ประธานาธิบดี นัสเซอร์ บอกกษัตริย์ฮุสเซนว่า เขาได้รับชัยชนะ ภาพที่ปรากฏในจอเรดาร์คือ เครื่องบินอียิปต์ที่บินไปทิ้งระเบิดอิสราเอล (ที่จริงคือ เครื่องบินอิสราเอลกำลังบินกลับมาหลังโจมตีอียิปต์แล้ว) กษัตริย์ ฮุสเซนจึงตัดสินใจสั่งให้กองทัพจอร์แดนที่ประจำการอยู่ที่เวสท์ แบงค์ บุกเข้าไปในพื้นที่เฮบรอน เพื่อพบกับกองทัพอียิปต์
ก่อนสงคราม, กำลังของจอร์แดนมี ๑๑ กรม ประกอบด้วยทหาร ๕๕,๐๐๐ นาย, รถถังรุ่นใหม่จากตะวันตก ในจำนวนนี้ ๙ กรม (ทหาร ๔๕,๐๐๐ นาย, รถถัง ๒๗๐ คัน, ปืนใหญ่ ๒๐๐ กระบอก) ประจำการอยู่ในเขตฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน, ซึ่งรวมทั้งกรมยานเกราะที่ ๔๐ และกรมที่ ๒ ซึ่งอย่ในหุบเขาจอร์แดน กองทหาร Arab Legion เป็นทหารอาชีพ, มีอาวุธที่ทันสมัย และมีการฝึกที่ดี แต่ก็ยังตามหลังอิสราเอลอยู่ครึ่งก้าว กองทัพอากาศจอร์แดน มีเครื่องบินขับไล่ Hawker Hunter ของอังกฤษ เพียง ๒๔ เครื่อง ซึ่งมีสมรรถนะเทียบเท่ากับเครื่องบินขับไล่ Mirage III ที่ถือว่าเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ดีที่สุดของอิสราเอลในเวลานั้น
ฝ่ายอิสราเอลมีทหารที่เตรียมรับมือทหารจอร์แดนจากเวสท์ แบงค์ ประมาณ ๔๐,๐๐๐ นาย รถถัง ๒๐๐ คัน (๘ กรม) สังกัดกองกำลังส่วนกลาง กำลังทหาร ๒ กรมประจำการอยู่ใกล้เยรูซาเล็ม ชื่อว่า กรมทหารเยรูซาเล็ม และกรมทหาร ฮาเรล (กรมทหารราบยานยนต์) กรมทหารพลร่มที่ ๕๕ ของนายพล มอร์เดซาย เกอร์ เตรียมพร้อมตรงแนวด้านซีนาย กรมยานเกราะอีก ๑ กรมสำรองไว้ที่ Latrun กรมยานเกราะที่ ๑๐ ประจำการอยู่ทางเหนือของเวสต์ แบงค์ กองบัญชาการภาคเหนือของอิสราเอล มีกำลัง ๑ กองพล (๓ กรม) บัญชาการโดยพลโท อีล๊าด เปเลด ประจำการอยู่ทางเหนือของเวสต์ แบงค์ ใน Jezreel Valley
แผนยุทธศาสตร์ของกองทัพอิสราเอลยังคงตั้งรับตลอดแนวรบด้านจอร์แดน, เพื่อรอดูสถานการณ์รบด้านอียิปต์ก่อน อย่างไรก็ตาม, ในเช้าของวันที่ ๕ มิถุนายน กำลังของจอร์แดนก็รุกล้ำเข้ามาในเยรูซาเล็ม และเข้ายึดสำนักงานซึ่งตอนนี้ใช้เป็นกองบัญชาการของเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ ของสหประชาชาติ และฝ่ายจอร์แดนยิงปืนใหญ่มายังกรุงเทลอาวีฟ ซึ่งไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก กองทัพอากาศจอร์แดนก็ส่งเครื่องบินมาโจมตีสนามบินของอิสราเอล แต่ความเสียหายมีไม่มากเพราะอิสราเอลอยู่ในสภาพพร้อมรบ เครื่องบินอิสราเอลจึงบินไปโจมตีกำลังของจอร์แดนทางฝั่งเวสท์ แบงค์ ตอนบ่ายเครื่องบินอิสราเอลก็ไปถล่มฐานบินของจอร์แดนเรียบร้อย ตกเย็น กรมทหารราบเยรูซาเล็ม ก็เคลื่อนกำลังเข้าสู่ทางใต้ของกรุงเยรูซาเล็ม ขณะเดียวกัน กรมทหารราบยานยนต์ “ฮาเรล” และทหารพลร่มของนายพล เกอร์ ก็เคลื่อนกำลังตีโอบมาจากทางเหนือ
วันที่ ๖ มิถุนายน กำลังของอิสราเอลเข้าสู่ที่ตั้งตามแผนแล้วก็เข้าโจมตี กรมทหารพลร่มปะทะอย่างดุเดือดกับทหารจอร์แดนที่ Ammunition Hill กรมทหารราบเยรูซาเล็มก็เข้าตีทหารจอร์แดนที่บริเวณป่า แถบ Latrun และยึดพื้นที่ได้ตอนรุ่งเช้า จากนั้นก็รุกต่อไปตามเส้นทางที่เชื่อมระหว่าง Beit Horon ไปยัง Ramallah ทางด้านกรมทหารราบยานยนต์ “ฮาเรล” ก็เข้าผลักดันกำลังของจอร์แดนที่อยู่ในเขตภูเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุง เยรูซาเล็ม ที่เชื่อมวิทยาเขต Mount Scopus ของมหาวิทยาลัยฮิบรู กับบริเวณตัวเมืองกรุงเยรูซาเล็ม ตกเย็น, ทหารอิสราเอลก็ถึง Ramallah เครื่องบินกองทัพอากาศอิสราเอลโจมตีกรมที่ ๖๐ ของจอร์แดน ที่กำลังเดินทางมาจาก Jericho เพื่อเสริมกำลังทหารฝ่ายตนในเยรูซาเล็ม
ทางด้านเหนือ, กองพลของนายพล เปเลด ส่งทหาร ๑ กองพันไปหาข่าวการป้องกันของฝ่ายจอร์แดนในหุบเขาจอร์แดน (Jordan Valley) กำลังอีกกรมเข้ายึดด้านตะวันตกของเวสท์ แบงค์ไว้ได้, กำลังอีกส่วนยึด Jenin ได้เช่นกัน กรมที่สามที่มีรถถังเบา AMX-13 ปะทะกับรถถังหนัก M48 Patton ของจอร์แดนอยู่ทางด้านตะวันออก
วันที่ ๗ มิถุนายน มีการสู้รบอย่างรุนแรง กรมทหารพลร่มของนายพล เกอร์ รุกเข้าสู่เขตเมืองเก่าของเยรูซาเล็ม มุ่งไปสู่ Lion's Gate เข้ายึดกำแพงตะวันตกและ Temple Mount ได้แต่ก็สูญเสียไปพอสมควร                กรมทหารราบเยรูซาเล็มเข้ามาเสริมกำลังและรุกต่อเนื่องไปทางใต้ ยึด Judea, Gush Etzion และ Hebron              ได้อีก กรมทหาร “ฮาเรล” รุกคืบหน้าไปทางด้านตะวันออกจนถึงแม่น้ำจอร์แดน
ทางด้านเวสต์แบงค์ ทหารของนายพล เปเลด ยึด Nablus ได้ และร่วมกับกรมยานเกราะจาก บก.ส่วนกลาง สู้รบกับกำลังของจอร์แดนที่มีอาวุธดีกว่าแต่จำนวนพอๆ กัน
ก่อนที่สถานการณ์จะย่ำแย่ พระเอกก็ขี่ม้าขาวมาช่วย, กองทัพอากาศส่งเครื่องบินมาโจมตีทหารจอร์แดน จนในที่สุดทหารอิสราเอลชนะ แล้วก็ยึดหัวสะพานข้ามแม่น้ำจอร์แดนที่ฝ่ายจอร์แดนสร้างเอาไว้ ก่อนที่ทหารอิสราเอลจะรุกเข้าไปในดินแดนของจอร์แดนมากกว่านี้ สหรัฐอเมริกาก็เข้ามาปรามๆ ไว้ก่อน

แผนที่แนวรบด้านจอร์แดน
ที่ราบสูงโกลาน
แรงจูงใจที่ทำให้ผู้นำซีเรียตกลงใจทำสงครามครั้งนี้คือ  รายงานของอียิปต์ที่กล่าวว่า ได้รับชัยชนะต่อกองทัพอิสราเอลในคาบสมุทรซีนาย และเมื่อเห็นปืนใหญ่(จอร์แดน)ถล่มกรุงเทลอาวีฟ ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นให้ซีเรียตัดสินใจทำสงคราม ฉากแรกของแนวรบด้านนี้คือ การที่ปืนใหญ่ของซีเรียเริ่มยิงถล่มด้านเหนือของอิสราเอล หลังจากเครื่องบินรบของอิสราเอลจัดการกับอียิปต์เรียบร้อยก็พุ่งเป้าไป จัดการกับกองทัพอากาศซีเรีย ถึงตรงนี้ ซีเรียก็เริ่มรู้ตัวว่า ข่าวที่ได้มาจากอียิปต์ไม่เป็นความจริง เย็นวันที่ ๕ มิถุนายน กำลังทางอากาศของซีเรียถึง ๒ ใน ๓ ถูกเครื่องบินรบของอิสราเอลทำลาย ที่เหลือต้องย้ายไปตั้งหลักยังสนามบินที่ห่างไกลและปลอดภัยกว่า สรุปว่า เครื่องบินของซีเรียไม่มีบทบาทออกมาสนับสนุนกำลังภาคพื้นดินได้เลย กำลังทหารของซีเรียบางส่วนพยายามเข้ายึดแหล่งน้ำที่ Tel Dan ทำให้รถถังซีเรียหลายคันจมลงสู่ก้นแม่น้ำจอร์แดนหลังพยายามข้ามน้ำมาโจมตี อิสราเอล ในที่สุด ผู้บัญชาการของซีเรียก็ล้มเลิกความคิดที่จะบุกเข้าโจมตีอิสราเอล หันมาใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มชุมชนชาวยิวในหุบเขา Hula ดีกว่า
วันที่  ๗ และ ๘  มีการหารือกันในระหว่างผู้บัญชาการระดับสูงของอิสราเอลว่า จะจัดการกับที่ราบสูงโกลานอย่างไร
กองทัพซีเรีย มีกำลังประมาณ ๗๕,๐๐๐ นาย แบ่งเป็น ๙ กรม สนับสนุนด้วยยานเกราะและปืนใหญ่ ส่วนอิสราเอลมีกำลังทั้งหมด ๔ กรม แบ่งกำลัง ๒ กรมอยู่ทางด้านเหนือของแนวรบ อีก ๒ กรม อยู่ตรงกลาง อิสราเอลได้ข้อมูลเส้นทางที่จะใช้ตีโอบทหารซีเรียจากหน่วยสืบราชการลับ มอสสาด
ก่อนเริ่มทำการบุก, กองทัพอากาศอิสราเอล ทำการโจมตีฐานปืนใหญ่ของซีเรียถึงสี่วัน นักบินได้รับคำสั่งให้ถล่มทุกอย่าง แต่ปืนใหญ่ของซีเรียที่เจอกับการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลบ่อยๆ จึงมีการทำที่กำบังอย่างดี ปืนเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไม่ถูกทำลาย แต่นอกเหนือจากนี้ได้รับความเสียหายมาก จนทำให้แนวป้องกันของซีเรียหมดประสิทธิภาพ
เย็นวันที่ ๙ มิถุนายน ทหารอิสราเอลทั้ง ๔ กรม ก็เข้าตีแนวรับของทหารซีเรีย(๖ กรม จากทั้งหมด ๙ กรม) ที่ตั้งมั่นอยู่บริเวณที่ราบสูงแตก ทหารซีเรียพยายามเสริมกำลังแต่เมื่อไม่มีอะไรดีขึ้น ทหารซีเรียก็ถอนกำลัง
วันต่อมา (๑๐ มิถุนายน), กำลังด้านเหนือและด้านกลางของอิสราเอลรุกมาพบกันบริเวณที่ราบสูง, แต่ตอนนี้ทหารซีเรียถอนกำลังออกไปหมดแล้ว อิสราเอลยึดที่ราบสูงโกลานได้สมบูรณ์

แผนที่แนวรบด้านที่ราบสูงโกลาน


สงครามทางอากาศ
ในระหว่างสงครามหกวัน, กองทัพอากาศอิสราเอลแสดงให้เห็นความสำคัญของเวหานุภาพต่อวิกฤตกาลยุคใหม่, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมรภูมิทะเลทราย การเปิดฉากด้วยการโจมตีทางอากาศของกองทัพอากาศอิสราเอลในช่วงรุ่งสาง ที่อาศัยความได้เปรียบทางทัศนวิสัย  โดยมีพระอาทิตย์เป็นฉากหลังทำให้ฝ่ายข้าศึกสังเกตเห็นได้ยาก ผลจากการโจมตีกำลังทางอากาศของฝ่ายอาหรับทำให้กองทัพอากาศอิสราเอลครองน่านฟ้าในทุกแนวรบ   ยุทธศาสตร์ทางอากาศทำให้กองทัพอากาศอิสราเอลสามารถให้การสนับสนุนกำลังรบภาคพื้นดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ
การทำลายกรมยานเกราะที่ ๖๐ ของจอร์แดน ใกล้ Jericho กำลังเดินทางมาสนับสนุนทหารจอร์แดนที่กำลังสู้รบอยู่ในเยรูซาเล็ม และการโจมตีกรมยานเกราะของอิรัก ที่กำลังเดินทางมาโจมตีอิสราเอลโดยผ่านจอร์แดน หากอิสราเอลไม่สามารถครองอากาศเหนือยุทธบริเวณได้สถานการณ์ภาคพื้นดินคงหนักหนาสากรรจ์กว่านี้
ในทางตรงข้าม, กองกำลังทางอากาศของฝ่ายอาหรับไม่สามารถขยายผลการโจมตีทางอากาศของฝ่ายตนได้
ในช่วง ๒ วันแรกของการรบ, เครื่องบินขับไล่ของจอร์แดนและเครื่องบินทิ้งระเบิด Tu-16 ของอียิปต์ เข้าโจมตีทิ้งระเบิดแนวหลังของอิสราเอลแต่ได้ผลน้อยมาก เครื่องบินทิ้งระเบิดของอียิปต์ถูกยิงตก ส่วนเครื่องบินขับไล่ของจอร์แดนถูกอิสราเอลทำลายขณะจอดอยู่ในฐานบิน

ปัจจัยที่สำคัญอื่นๆ ที่ส่งผลให้อิสราเอลได้รับชัยชนะทางอากาศคือ ปากคำของนักบินอาหรับเกี่ยวกับปัญหาของเครื่องบิน MIG ของตน ซึ่งอิสราเอลได้นำเครื่องบิน MIG ที่ยึดได้มาทดสอบจนรู้จุดอ่อน และนำข้อมูลเหล่านี้มาฝึกนักบินของตนให้รับมือกับเครื่องบิน MIG ของฝ่ายอาหรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อิสราเอลได้เครื่องบิน MIG-21 ๓ เครื่อง จากการที่นักบินอิรักลักลอบนำเครื่องมาลงอิสราเอล เพื่อลี้ภัยการเมือง ได้เครื่องบิน MiG-17 ๗ เครื่อง, ๖ เครื่องจากนักบินอัลจีเรียที่ลี้ภัยทางการเมือง และอีก ๑ เครื่องจากนักบินซีเรียที่ต้องการขอลี้ภัยเช่นกัน ทั้งหมดขอไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา)

สงครามทางทะเล
สงครามทางทะเลในระหว่างสงคราม ๖ วัน ไม่รุนแรงมากนัก ไม่มีการปะทะกันของเรือรบทั้งสองฝ่าย เหตุการณ์ที่สำคัญคือ อิสราเอลส่งมนุษย์กบ ๖ นาย ไปปฏิบัติการในอ่าวเมืองท่าอเล็กซานเดรีย (ทั้งหมดถูกจับ หลังจมเรือกวาดทุ่นระเบิดของอียิปต์ไปหนึ่งลำ) อีกด้าน, หน่วยปฎิบัติการพิเศษทางเรือของอิสราเอลยึด Sharm el-Sheikh ซึ่งอยู่ใต้สุดของคาบสมุทรซีนาย ในวันที่ ๗ มิถุนายน
วันที่ ๘ มิถุนายน, เรือหาข่าวทางอิเล็กทรอนิกส์ของนาวีสหรัฐฯ (USS Liberty) ถูกกำลังทางเรือและกำลังทางอากาศของอิสราเอลโจมตี ขณะอยู่นอกฝั่ง Arish ของอียิปต์  ห่างจากฝั่ง ๑๓ ไมล์  เรืออเมริกันได้รับความเสียหายอย่างหนักเกือบจะจม อิสราเอลแถลงว่า เป็นความเข้าใจผิด ซึ่งยังหาข้อยุติเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ยังไม่ได้ แต่สหรัฐฯ ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ
วันที่ ๑๐ มิถุนายน  การปะทะบนที่ราบสูงโกลานยุติ และมีการเซ็นสัญญาหยุดยิงในอีกวันต่อมา อิสราเอลยึดฉนวนกาซ่า, คาบสมุทรซีนาย, ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน (รวมทั้งพื้นที่ทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม) และที่ราบสูงโกลาน ของแถมคือ ประชาชนอาหรับอีกราว ๑ ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในเขตที่อิสราเอลเพิ่งยึดมาได้, อิสราเอลได้ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์จากการที่สามารถวางแนวป้องกันทางลึกได้ อย่างดี ซึ่งส่งผลต่อสงครามระหว่างอาหรับ-อิสราเอล ในปี ๑๙๗๓
สงครามครั้งนี้สอนอิสราเอลให้รู้ว่าการใช้ยุทธศาสตร์ที่เริ่มลงมือโจมตีก่อนสามารถเปลี่ยนดุลย์ทางทหารได้    อียิปต์และซีเรียเรียนรู้บทเรียนจากสงครามครั้งนี้เช่นกัน แต่ยังดำเนินยุทธศาสตร์แบบตัวใครตัวมันอยู่ การเปิดสงครามในปี ๑๙๗๓ เป็นความพยายามที่จะชิงพื้นที่ที่สูญเสียไปในการรบครั้งนี้


สรุป
กำลังรบ
อิสราเอล มีกำลังพลทั้งสิ้น ๒๖๔,๐๐๐ นาย (รวมทหารประจำการ ๕๐,๐๐๐ นาย) เครื่องบินรบ ๑๙๗ เครื่อง
ฝ่ายอาหรับ มีกำลังพลจากอียิปต์ ๑๕๐,๐๐๐ นาย, ซีเรีย ๗๕,๐๐๐ นาย, จอร์แดน ๕๕,๐๐๐ นาย, ซาอุดิอารเบีย ๒๐,๐๐๐ นาย เครื่องบินรบ ๘๑๒ เครื่อง

การสูญเสีย
อิสราเอล (ตัวเลขทางการ)
เสียชีวิต ๗๗๙ นาย, บาดเจ็บ ๒,๕๖๓ นาย, ถูกจับ ๑๕ นาย
อาหรับ (ตัวเลขประมาณการ)
เสียชีวิต ๒๑,๐๐๐ นาย, บาดเจ็บ ๔๕,๐๐๐ นาย, ถูกจับ ๖,๐๐๐ นาย เครื่องบินกว่า ๔๐๐ เครื่องถูกทำลายที่มา 
 http://www.pmkmcenter.com/index.php/2012-07-19-16-50-57/269-war6day

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น